ทำไมการติดตั้งระบบสายดินถึงช่วยเซฟชีวิตได้ ?
“ไฟฟ้า” เป็นพลังงานที่ขับเคลื่อนอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นหลอดไฟ พัดลม เครื่องปรับอากาศ หรือโทรทัศน์ แต่ประโยชน์ของไฟฟ้าก็แฝงไปด้วยอันตราย เพราะหากว่าใช้อย่างผิดวิธี ก็อาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ทำให้ต้องมีระบบที่ช่วยป้องกันอันตรายจากการใช้ไฟฟ้า หนึ่งในนั้นคือ การติดตั้งระบบสายดิน
ระบบสายดินคืออะไร ? ทำไมถึงช่วยป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าได้ ?
ระบบสายดิน (Grounding System) คือระบบที่ใช้เชื่อมต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าหรือวงจรไฟฟ้าเข้ากับพื้นดิน เพื่อป้องกันอันตรายจากการรั่วไหลหรือการทำงานที่ผิดปกติของกระแสไฟฟ้า เพิ่มความปลอดภัยและยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านความสำคัญของการติดตั้งระบบสายดิน
- ป้องกันไฟฟ้าดูด ในกรณีที่ไฟฟ้ารั่วไหลจากเครื่องใช้ไฟฟ้า ระบบสายดินจะนำกระแสไฟฟ้าไปตามสายดิน และลงไปที่หลักดิน ไม่ผ่านร่างกายของเรา
- ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร หากไฟฟ้ารั่ว จะส่งสัญญาณไปที่เครื่องตัดไฟหรือเบรกเกอร์ให้ตัดกระแสไฟฟ้าทันที แม้ว่าจะไม่มีใครมาสัมผัสก็ตาม เพื่อความปลอดภัย
- ป้องกันอุปกรณ์ไฟฟ้าเสียหาย ในกรณีที่ฟ้าผ่าหรือเกิดแรงดันไฟฟ้ากระชาก ระบบสายดินจะนำกระแสไฟฟ้าส่วนเกินกระจายไปยังพื้นดิน ช่วยลดความเสียหายของเครื่องใช้ไฟฟ้าได้
ระบบสายดินประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ?
ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้1. สายนำไฟฟ้า
เป็นตัวนำไฟฟ้าที่เหมือนกับสายไฟที่ใช้ในบ้าน ซึ่งจะติดตั้งอยู่บริเวณเต้ารับ หรือเชื่อมต่อกับเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยตรง และนำไปต่อกับหลักดิน2. หลักดิน
เป็นแท่งโลหะ มักทำจากเหล็กชุบสังกะสีหรือทองแดง โดยจะฝังดินเอาไว้ เมื่อกระแสไฟฟ้ารั่วไหล จะกระจายกระแสไฟฟ้าส่วนเกินลงดิน เพื่อความปลอดภัย
วิธีการติดตั้งระบบสายดิน
บ้านที่สร้างใหม่ส่วนใหญ่ จะมีการติดตั้งสายดินเพื่อความปลอดภัย โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ๆ คือ1. การต่อลงดินที่เมนสวิตช์
เป็นการติดตั้ง โดยให้เมนสวิตช์เป็นจุดที่รวมสายดินเอาไว้ โดยกระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านไปยังหลักดิน โดยมีขั้นตอนการติดตั้งดังนี้- ติดตั้งจุดต่อลงดินที่ด้านไฟเข้าของเบรกเกอร์ตัวแรกของตู้เมนสวิตช์
- เลือกตำแหน่งและตอกหลักกราวด์ลงดินอย่างน้อย 2.4 เมตร
- เชื่อมสายดินจากเมนสวิตช์ไปที่หลักดิน โดยใช้สายไฟที่มีความเหมาะสมกับกำลังไฟภายในบ้านหรืออาคาร
- ตรวจสอบการเชื่อมต่อในทุกจุดว่าถูกต้องและเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด
2. การต่อลงดินของเครื่องใช้ไฟฟ้า
เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 1 อย่างเครื่องซักผ้า เครื่องทำน้ำอุ่น ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ ที่โครงหรือเปลือกหุ้มเป็นโลหะจะต้องดำเนินการติดตั้งสายดิน เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่วไหล โดยมี 2 รูปแบบคือ เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก อย่างเตารีด จะติดตั้งสายดินที่เต้ารับไฟฟ้า หรือเป็นเต้ารับแบบ 3 ขา แล้วต่อเชื่อมไปเมนสวิตช์ไปที่หลักดิน เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ อย่างเครื่องปรับอากาศ เตาอบขนาดใหญ่ ให้ต่อสายดินแยกต่างหาก เข้ากับระบบสายดินหลักของบ้าน เพื่อความปลอดภัยเรื่องควรรู้ก่อนการติดตั้งสายดิน
สำหรับการติดตั้งแนะนำให้ทำโดยช่างผู้มีความเชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้งาน โดยมีข้อที่ควรรู้ดังต่อไปนี้- อาคารหลังเดียวกันไม่ควรมีจุดลงดินมากกว่า 1 จุด
- ไม่ควรต่อโครงโลหะของอุปกรณ์ไฟฟ้าไปที่สายดินโดยตรง ให้ต่อเข้าเมนสวิตช์ก่อนทุกครั้ง
- แนะนำให้ติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่วหรือเบรกเกอร์ เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
- ในวงจรสายดินจะต้องไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่ สามารถทดสอบได้โดยการใช้ไขควงวัดไฟ
- เมื่อตอกหลักกราวด์ลงดินแล้ว ความต้านทานต่อการลงดินต้องไม่เกิน 5 โอห์ม
- ตะปูคอนกรีตไม่สามารถใช้แทนหลักดินได้
- ไม่ควรตอกหลักกราวด์บริเวณที่มีน้ำท่วมขังหรือเสี่ยงต่อการแช่น้ำ หากจำเป็นให้หุ้มฉนวนให้มิดชิดเพื่อความปลอดภัย
นอกจากการติดตั้งระบบสายดินแล้ว ยังควรติดตั้งเบรกเกอร์ เพื่อช่วยตัดวงจรไฟฟ้า เมื่อเกิดไฟฟ้าลัดวงจร จะช่วยเพิ่มปลอดภัยให้มากยิ่งขึ้น หากใครกำลังมองหาเบรกเกอร์คุณภาพดี สามารถเลือกซื้อได้ที่ Thai Electricity เรามีเบรกเกอร์ให้เลือกหลากหลายแบบ สามารถซื้อผ่านออนไลน์ หรือเลือกชมสินค้าจริงได้ที่สำนักงานของเรา ตั้งอยู่บนถนนรามอินทรา กิโลเมตรที่ 10 เดินทางสะดวก มีที่จอดรถ เปิดให้บริการวันจันทร์-วันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 8.30-17.30 น.
ข้อมูลอ้างอิง
- วิธีติดตั้งระบบสายดินที่ถูกต้อง. สืบค้นเมื่อวันที่ 23 กันยายน จาก https://www.clef-audio.com/pic/correct_grounding.pdf
- การติดตั้งสายดิน. สืบค้นเมื่อวันที่ 23 กันยายน จาก https://www.safesiri.com/grounding-installation/